กรมควบคุมมลพิษ – สสส. สานพลังสมาคมซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่า เร่งยกระดับสมรรถนะซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่ารับหลักการ BCG

น.ส.ปรีญาพร สุวรรณเกษ รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมการพัฒนาศักยภาพซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่า ครั้งที่ 1 ภายใต้กิจกรรมการพัฒนาศักยภาพซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่า โครงการพัฒนาและบริหารจัดการการคัดแยกและนำขยะกลับมาใช้ประโยชน์ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาวะ โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่า โดยสานพลังกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสมาคม

ซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่า ร่วมสนับสนุน“นโยบายให้ประชาชนคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทางโดยมีซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่าเข้ามาร่วมเป็นกลไกในการทำให้เศษพลาสติกและบรรจุภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ จากบ้านเรือน อาคาร สำนักงาน และแหล่งกำเนิดต่าง ๆ ถูกนำกลับไปใช้ประโยชน์เป็นวัตถุดิบในภาคอุตสาหกรรมเพื่อทำให้ “ขยะ” ต้องไม่ใช่ “ขยะ” แต่ “ขยะ” คือ “ทรัพยากร” ที่ต้องนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ ตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน สอดคล้องกับนโยบาย BCG โมเดลตามที่รัฐบาล ได้ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ และจะสนับสนุนนโยบายห้ามนำเข้าเศษพลาสติกในอีก 2 ปีข้างหน้า ซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่าในวันนี้ จึงเป็นกลุ่มคนที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในธุรกิจรีไซเคิลที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเก็บหรือรับซื้อขยะรีไซเคิลหรือวัสดุเหลือใช้ การฝึกอบรมในวันนี้ เป็นการพัฒนาศักยภาพในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่าครั้งที่ 1 จากทั้งหมดจำนวน 5 ครั้ง โดยจะจัดขึ้นกระจายตามภูมิภาคต่าง ๆ ทั้งภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ ในเรื่องของความรู้ในการคัดแยกขยะแต่ละประเภท การปฏิบัติงานที่เหมาะสม ข้อควรระวังต่อวัตถุอันตรายบางประเภท ที่ทำให้ไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ปฏิบัติงาน สิ่งแวดล้อมและผู้อยู่อาศัยข้างเคียง การปฏิบัติตามกฎระเบียบต่าง ๆ รวมทั้งการใช้แอปพลิเคชันฮีโร่รีไซเคิล เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการซื้อขายขยะรีไซเคิลในอาชีพซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่าเพื่อเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนของประเทศ” นายปิ่นสักก์ กล่าว

นายศรีสุวรรณ ควรขจร กรรมการกองทุน สสส. กล่าวว่า การปรับทัศนคติเกี่ยวกับขยะมูลฝอย โดยมองว่าสามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ได้ เป็นการเพิ่มมูลค่าและรายได้ให้กับประชาชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงลดต้นทุนการผลิตได้อีกทางหนึ่ง การปฏิบัติงานของซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่า จะต้องมีหน้าที่คัดแยกวัสดุแต่ละชนิดไม่ให้ปะปนกัน เช่น แก้ว กระดาษ พลาสติก อลูมิเนียม ทองแดง เหล็ก เพื่อเพิ่มมูลค่าในการจำหน่าย ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การปนเปื้อนของโลหะหนักและสารพิษในพื้นที่โดยรอบ สุขภาพอนามัยผู้ปฏิบัติงานและคนในชุมชน จากการสัมผัสต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน สสส. จึงสานพลังกับกรมควบคุมมลพิษ สมาคมซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่า ยกระดับคุณภาพชีวิตของซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่าอย่างเป็นระบบ ครบวงจร ตั้งแต่สุขภาพกาย จิต ปัญญา สร้างความรู้ความเข้าใจในการประกอบอาชีพที่ปลอดภัยต่อชีวิตและไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาวะ และรวมตัวจัดตั้งเครือข่ายองค์กรเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ

นายชัยยุทธิ์ พลเสน นายกสมาคมซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่า กล่าวว่า อาชีพ ซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่าในไทยมีมากว่า 100 ปี การยกระดับและเพิ่มศักยภาพการจัดการขยะและสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันเป้าหมาย ภายใต้ Roadmap การจัดการขยะพลาสติก และนโยบายโมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG Model) เป็นการสร้างประวัติศาสตร์สำคัญร่วมกัน ในฐานะนายกสมาคมซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่าแห่งประเทศไทย ได้จัดเตรียมผู้ที่มีประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถมาเป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้แก่คนขับซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่าที่มารวมตัวกันจากทั่วประเทศ แสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์อันแน่วแน่ในการเปลี่ยนแปลงอาชีพนี้ให้เกิดการพัฒนา เพิ่มโอกาส เพิ่มศักยภาพ โดยหวังว่าภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะจัดงานนี้อย่างต่อเนื่องต่อไป

นายเปรม พฤกษ์ทยานนท์ เจ้าของเพจลุงซาเล้งกับขยะที่หายไป กล่าวว่า ธุรกิจรับซื้อของเก่าเป็นธุรกิจ ที่อยู่คู่ประเทศไทยมาอย่างยาวนาน แต่มักไม่ได้รับความสนใจจากสังคมเท่าที่ควร ทั้งที่เป็นกลไกสำคัญในการแก้ไขปัญหาขยะของประเทศ รวมถึงผู้ประกอบการรีไซเคิลเองก็ขาดการพัฒนาองค์ความรู้และรูปแบบธุรกิจที่ทำให้เข้าถึงประชาชนทั่วไปได้ง่ายขึ้น ดังนั้นการอบรมพัฒนาศักยภาพซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่าในครั้งนี้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะทำให้ซาเล้งและผู้ประกอบการของเก่าได้มาร่วมกันพัฒนาธุรกิจรีไซเคิลไทยให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงด้านสังคม เทคโนโลยี และกลายเป็นหนึ่งในกลไกหลักที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนของไทย ตามนโยบาย BCG ของประเทศได้

วันที่ : 9 ธันวาคม 2565 ข้อมูลโดย : สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์

เครดิต : ข่าวสิ่งแวดล้อม คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ ม.มหิดล